โรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้ (Allergy) เป็นภาวะที่ภูมิของร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ (Allergen) จาก สิ่งแวดล้อม ซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้
อาจกล่าวง่ายๆ ได้ว่า สารก่อภูมิแพ้เปรียบเสมือนเป็นตัวกระตุ้น ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการของโรคภูมิแพ้ ซึ่งสารนี้อาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ การรับประทานอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง ตา หู จมูก หรือโดยการฉีดผ่านทางผิวหนัง ตัวอย่างสารก่อภูมิแพ้ที่พบในบ้าน เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนสัตว์เลี้ยง และเชื้อรา สำหรับสารก่อภูมิแพ้นอกบ้านที่พบได้บ่อย เช่น เกสรหญ้า เกสรดอกไม้ ควัน และฝุ่นจากมลภาวะต่างๆ เป็นต้น
โรคภูมิแพ้สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย จากการสำรวจพบว่า เด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี เป็นช่วงอายุที่เป็นโรคนี้มากกว่าช่วงอายุอื่นๆ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรคแสดงออกหลังจากได้รับ “สิ่งกระตุ้น” มานานเพียงพอ อย่างไรก็ตามบางคนอาจเริ่มเป็นโรคนี้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้
โรค ภูมิแพ้ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่น พ่อแม่ พี่น้อง ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป และเด็กผู้ชายก็มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าเด็กผู้หญิง ถ้าหากพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้ถึงร้อยละ 30 แต่หากทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้มากถึง 50-60%
นอก จากนี้สิ่งแวดล้อมของเด็กในขวบปีแรกก็สำคัญมาก การสัมผัสควันบุหรี่ ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ สะเก็ดรังแคสัตว์เลี้ยง การใช้ยาปฏิชีวนะ การติดเชื้อไวรัสในวัยเด็ก รวมถึงการรับประทานอาหารสำเร็จรูปทั้งหมดเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ ได้ทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าโรคนี้จะสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้มาก่อนก็จะไม่แสดงอาการของ โรคออกมา โดยทั่วไปแล้วอาการของโรคจะเกิดก็ต่อเมื่อได้รับสารที่สามารถกระตุ้นให้เกิด ปฏิกิริยาภูมิไวเกินในร่างกาย
การ ได้รับสารก่อภูมิแพ้จะต้องได้รับในปริมาณที่มากและระยะเวลานานพอที่จะ กระตุ้นให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาดังกล่าว ซึ่งอาการของโรคจะมากขึ้นเมื่อภูมิต้านทานในร่างกายลดต่ำลง เช่น ขณะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น การติดเชื้อ หรือในขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น
โรค ภูมิแพ้เป็นกลุ่มของโรคที่มีอาการแสดงได้หลายระบบ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้อาจเกิดอาการในอวัยวะเดียวหรือหลายอวัยวะร่วมกันก็ได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วโรคภูมิแพ้สามารถแบ่งได้ตามอวัยวะที่เกิดโรคได้เป็น 4 โรคคือ
1. โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือ โรคแพ้อากาศ อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คันในจมูก จามติดกันหลายๆ ครั้ง มีน้ำมูกไหลมาก คัดแน่นจมูก นอกจากนี้อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น หูอื้อ ปวดมึนศีรษะ มีเสมหะติดในลำคอ เป็นต้น
2. โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้ หรือเยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ มักมีอาการแสบตา คันตา ตาแดง น้ำตาไหลมาก ขยี้ตาบ่อย และเปลือกตาบวม เป็นต้น
3. โรคหอบหืด ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีอาการไอ หอบ แน่นหน้าอก หายใจเสียงดัง อาจจะเกิดขึ้นในขณะที่ออกกำลังกาย ตอนกลางคืน หรือในขณะที่เป็นหวัดก็ได้
และ
4. โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ผู้ป่วยจะมีผื่นคัน ผิวหนังแห้งแดง และมักจะเป็นเรื้อรัง พบบ่อยมากที่บริเวณใบหน้า ข้อพับแขนและขา นอกจากนี้อาจเกิดลมพิษ ผื่นนูน บวม และคันตามผิวหนังส่วนต่างๆ บางรายอาจมีอาการบวมที่ใบหน้าหรือริมฝีปากด้วย โรคผื่นแพ้ผิวหนังมักเกิดจากการสัมผัสสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ เช่น ผงซักฟอก ยาย้อมผม เครื่องสำอาง และโลหะ เป็นต้น
สำหรับ ผู้ที่แพ้อาหารบางชนิดจะเกิดอาการแพ้ได้หลายระบบ เช่น ระบบผิวหนังทำให้เกิดลมพิษ ระบบหายใจทำให้คัดจมูก น้ำมูกไหล หอบ ระบบทางเดินอาหารทำให้เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน และท้องเสีย เป็นต้น อาหารที่เป็นสาเหตุของการแพ้ที่พบได้บ่อย คือ นมวัว ไข่ อาหารทะเล และถั่วลิสง
ในประเทศไทยโรคภูมิแพ้จัดเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่ง จากการศึกษาพบว่ามีอัตราความชุกอยู่ระหว่าง 15-45% โดยประมาณ ปัจจุบันอัตราชุกของโรคนี้มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งโรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มีอัตราชุกสูงสุดในกลุ่มโรค เนื่องจากมีอัตราการถ่ายทอดทางพันธุกรรมสูงที่สุด นั่นหมายความว่าประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ อยู่
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า