วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

พวกเรามาดื่มนมกันเถอะ

พวกเรามาดื่มนมกันเถอะ

1 มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นวันดื่มนมโลก ซึ่งนมพร้อมดื่มส่วนใหญ่ใช้นมโคสดแท้แค่บางส่วนเท่านั้น แล้วมันจะมีผลอะไรต่อร่างกายหรือไม่?
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นวันที่มีความสำคัญอีกวันหนึ่ง คือ เป็นวันที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ The Food and Agriculture Organization (FAO) กำหนดให้เป็น วันดื่มนมโลก (World Milk Day) เพื่อให้ประเทศต่างๆ และองค์กรที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงความสำคัญ และสนับสนุนให้ประชาชนได้บริโภคนมอย่างพอเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการบริโภคนม ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของนมแก่ประชาชน
จากผลการวิจัยในห้องทดลอง นมพร้อมดื่มส่วนใหญ่จะมีคุณภาพได้มาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ผู้ผลิตหลายรายจึงนิยมใช้นมโคสดแท้บางส่วน และเติมนมปรุงแต่งบางส่วน ในขณะที่ผู้ผลิตที่รักษาคุณภาพดั้งเดิมจะใช้นมโคสดแท้ ซึ่งมีคุณค่าสูงเกินกว่ามาตรฐานเพราะเป็น Whole Milk ที่มิได้สกัดเอาคุณค่าอันสูงกว่ามาตรฐานออก ซึ่งผู้บริโภคจะไม่ทราบเว้นแต่การทดสอบในห้องวิจัย
นมโคสดแท้จะมีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของธรรมชาติ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จากไขมัน โปรตีน และวิตามิน ร่างกายสามารถย่อยโปรตีนในนมโคแท้ได้ดีกว่านมผสม อีกทั้งน้ำนมโคแท้ที่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ยังคงให้คุณค่าอาหารในด้านวิตามิน บี 12 สูงกว่า นอกจากนั้นนม UHT ทั้งน้ำนมโคแท้ และน้ำนมผสมจะมีคุณค่าด้านวิตามินใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ น้ำนมผสมบางยี่ห้ออาจมีการเสริมวิตามิน ที่ไม่ได้มาจากแหล่งธรรมชาติ ทำให้มีปริมาณวิตามินบางประเภทสูงกว่าปกติ แต่เป็นวิตามินสังเคราะห์ ไม่ได้มาจากแหล่งธรรมชาติแต่อย่างใด
นมมีส่วนช่วยไม่ให้ความดันโลหิตสูงเกินกว่าปกติ และช่วยเสริมสร้างสุขภาพฟันที่ดี เพราะอุดมด้วยแคลเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ มีโปรตีนที่ช่วยให้ฟันเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และช่วยเคลือบผิวฟันอีกด้วย นอกจากนั้น นมยังเป็นเครื่องดื่มที่มอบความสดชื่นไม่แตกต่างจากน้ำดื่ม การดื่มนมหนึ่งหรือสองแก้วจะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น และยังทำให้ได้รับคุณค่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการอีกด้วย
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

รู้จักโรคภูมิแพ้

รู้จักโรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้ (Allergy) เป็นภาวะที่ภูมิของร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ (Allergen) จาก สิ่งแวดล้อม ซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้
อาจกล่าวง่ายๆ ได้ว่า สารก่อภูมิแพ้เปรียบเสมือนเป็นตัวกระตุ้น ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการของโรคภูมิแพ้ ซึ่งสารนี้อาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ การรับประทานอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง ตา หู จมูก หรือโดยการฉีดผ่านทางผิวหนัง ตัวอย่างสารก่อภูมิแพ้ที่พบในบ้าน เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนสัตว์เลี้ยง และเชื้อรา สำหรับสารก่อภูมิแพ้นอกบ้านที่พบได้บ่อย เช่น เกสรหญ้า เกสรดอกไม้ ควัน และฝุ่นจากมลภาวะต่างๆ เป็นต้น
โรคภูมิแพ้สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย จากการสำรวจพบว่า เด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี เป็นช่วงอายุที่เป็นโรคนี้มากกว่าช่วงอายุอื่นๆ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรคแสดงออกหลังจากได้รับ “สิ่งกระตุ้น” มานานเพียงพอ อย่างไรก็ตามบางคนอาจเริ่มเป็นโรคนี้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้
โรค ภูมิแพ้ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่น พ่อแม่ พี่น้อง ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป และเด็กผู้ชายก็มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าเด็กผู้หญิง ถ้าหากพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้ถึงร้อยละ 30 แต่หากทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้มากถึง 50-60%
นอก จากนี้สิ่งแวดล้อมของเด็กในขวบปีแรกก็สำคัญมาก การสัมผัสควันบุหรี่ ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ สะเก็ดรังแคสัตว์เลี้ยง การใช้ยาปฏิชีวนะ การติดเชื้อไวรัสในวัยเด็ก รวมถึงการรับประทานอาหารสำเร็จรูปทั้งหมดเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ ได้ทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าโรคนี้จะสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้มาก่อนก็จะไม่แสดงอาการของ โรคออกมา โดยทั่วไปแล้วอาการของโรคจะเกิดก็ต่อเมื่อได้รับสารที่สามารถกระตุ้นให้เกิด ปฏิกิริยาภูมิไวเกินในร่างกาย
การ ได้รับสารก่อภูมิแพ้จะต้องได้รับในปริมาณที่มากและระยะเวลานานพอที่จะ กระตุ้นให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาดังกล่าว ซึ่งอาการของโรคจะมากขึ้นเมื่อภูมิต้านทานในร่างกายลดต่ำลง เช่น ขณะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น การติดเชื้อ หรือในขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น
โรค ภูมิแพ้เป็นกลุ่มของโรคที่มีอาการแสดงได้หลายระบบ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้อาจเกิดอาการในอวัยวะเดียวหรือหลายอวัยวะร่วมกันก็ได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วโรคภูมิแพ้สามารถแบ่งได้ตามอวัยวะที่เกิดโรคได้เป็น 4 โรคคือ
1. โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือ โรคแพ้อากาศ อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คันในจมูก จามติดกันหลายๆ ครั้ง มีน้ำมูกไหลมาก คัดแน่นจมูก นอกจากนี้อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น หูอื้อ ปวดมึนศีรษะ มีเสมหะติดในลำคอ เป็นต้น
2. โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้ หรือเยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ มักมีอาการแสบตา คันตา ตาแดง น้ำตาไหลมาก ขยี้ตาบ่อย และเปลือกตาบวม เป็นต้น
3. โรคหอบหืด ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีอาการไอ หอบ แน่นหน้าอก หายใจเสียงดัง อาจจะเกิดขึ้นในขณะที่ออกกำลังกาย ตอนกลางคืน หรือในขณะที่เป็นหวัดก็ได้
และ
4. โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ผู้ป่วยจะมีผื่นคัน ผิวหนังแห้งแดง และมักจะเป็นเรื้อรัง พบบ่อยมากที่บริเวณใบหน้า ข้อพับแขนและขา นอกจากนี้อาจเกิดลมพิษ ผื่นนูน บวม และคันตามผิวหนังส่วนต่างๆ บางรายอาจมีอาการบวมที่ใบหน้าหรือริมฝีปากด้วย โรคผื่นแพ้ผิวหนังมักเกิดจากการสัมผัสสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ เช่น ผงซักฟอก ยาย้อมผม เครื่องสำอาง และโลหะ เป็นต้น
สำหรับ ผู้ที่แพ้อาหารบางชนิดจะเกิดอาการแพ้ได้หลายระบบ เช่น ระบบผิวหนังทำให้เกิดลมพิษ ระบบหายใจทำให้คัดจมูก น้ำมูกไหล หอบ ระบบทางเดินอาหารทำให้เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน และท้องเสีย เป็นต้น อาหารที่เป็นสาเหตุของการแพ้ที่พบได้บ่อย คือ นมวัว ไข่ อาหารทะเล และถั่วลิสง
ในประเทศไทยโรคภูมิแพ้จัดเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่ง จากการศึกษาพบว่ามีอัตราความชุกอยู่ระหว่าง 15-45% โดยประมาณ ปัจจุบันอัตราชุกของโรคนี้มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งโรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มีอัตราชุกสูงสุดในกลุ่มโรค เนื่องจากมีอัตราการถ่ายทอดทางพันธุกรรมสูงที่สุด นั่นหมายความว่าประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ อยู่
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ทำอย่างไรเมื่อเหน็บกิน


ทำอย่างไรเมื่อเหน็บกิน

หลายท่านคงเคยประสบปัญหาเหน็บกิน ขา เวลานั่งหรือยืนโดยไม่เปลี่ยนท่า หรือทับเท้าเป็นเวลานานๆ ช่วงเวลาแสนทรมานนั้นควรทำอย่างไร วันนี้มีคำแนะนำมาฝาก
อาการเหน็บชาเกิดขึ้นเมื่อมีแรงกดทับส่วนใดส่วนหนึ่งบนแขนหรือขา ทำให้เส้นเลือดไม่สามารถนำออกซิเจนและน้ำตาลกลูโคสไปยังเนื้อเยื่อหรือเส้น ประสาทได้ มีผลคือ เส้นประสาทไม่สามารถสื่อสัญญาณไปยังสมอง จึงทำให้เกิดความรู้สึกชาและเจ็บจี๊ดเหมือนถูกเข็มแทง ใครที่เป็นบ่อยๆ ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง ข้าวโอ๊ต รำข้าว ตับ ไข่ มันเทศ เป็นต้น หากไม่หายควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้
ใครที่เคยเป็นคงรู้ว่าช่วงเวลาที่เหน็บกินนั้น ทรมานแค่ไหน วิธีแก้ไขง่ายๆ แนะนำให้นวดที่นิ้วโป้งเท้าข้างที่โดนเหน็บกิน โดยบีบแรงๆ จะสามารถบรรเทาอาการได้ ส่วนคนโบราณมีความเชื่อว่า เมื่อเกิดอาการเหน็บชา ให้หาก้านไม้ขีด หรือกิ่งไม้ขนาดเล็กๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงก็ได้ เหน็บเอาไว้ที่หูข้างที่มีอาการเหน็บชา ประมาณ 20 วินาที จะช่วยทำให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติได้ อีกวิธีหนึ่งคือ ให้นำเชือกมาผูกที่หัวแม่เท้าข้างที่เป็นเหน็บ รัดให้แน่นๆ 2-3 รอบ แล้วรอสักครู่ เท้าที่เป็นเหน็บจะหายเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

หายปวดฟันทันใจ

หายปวดฟันทันใจ ‘เกลือสมุทร-สารส้ม’  

เวลามีอาการปวดฟัน ทรมานอย่าบอกใคร ผู้ที่เคยมีประสบการณ์คงเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ‘มุมสุขภาพ’ สรรหาสูตรยาภูมิปัญหาชาวบ้าน เสมือนเป็นยาแก้ปวดฟันแบบเฉพาะหน้ายามที่ยังไม่สามารถพบทันตแพทย์ได้


สูตรนี้ให้เตรียมเกลือสมุทรเอาไปตำให้ละเอียด 1/2 ช้อนชา
และสารส้มที่นำไปตำละเอียดเช่นเดียวกันอีก 1/2 ช้อนชา ได้แล้วใส่ถ้วยเพื่อผสมให้เข้ากัน จากนั้นล้างมือให้สะอาด ก่อนใช้นิ้วป้ายส่วนผสมแล้วทาเข้าไปในช่องปากตรงบริเวณที่รู้สึกปวดฟัน ช่วยลดอาการปวดฟันได้ในไม่ช้า
หากเกรงว่าส่วนผสมจะกระจายตัวเร็วเกินไป ให้ห่อเกลือสมุทรและสารส้มละเอียดนั้นด้วยสำลีแผ่นบางหุ้มผ้าก๊อส เอาใส่ปากกัดเบาๆ ไว้ให้ตรงบริเวณที่ปวดฟันก็ได้เช่นกัน
แม้สารส้มจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะส่วนใหญ่ก็นิยมใช้สารส้มแกว่งน้ำเพื่อให้สิ่งสกปรกตกตะกอน แล้วนำนำมาไปดื่มไปใช้ แต่หากกินสารส้มในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้บางคนเกิดแพ้พิษของสารส้ม ซึ่งจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ซึม
อย่างไรก็ตาม หลังบรรเทาอาการปวดด้วยสูตรเกลือสมุทรกับสารส้มแล้ว ควรไปพบทันตแพทย์ตรวจหาสาเหตุของการปวดฟันและรับการรักษาให้ตรงจุด.
ที่มา : ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

กลอนความรู้คูู่คุณธรรม


กลอนความรู้คู่คุณธรรม
เมื่อความรู้ยอดเยี่ยมสูงเทียมเมฆ
แต่คุณธรรมต่ำเฉกเช่นยอดหญ้า
นั้นอาจเสกสร้างมิจฉาสารพัน
เพราะจิตอันไร้อายในโลกา
แม้คุณธรรมสูงเยี่ยมถึงเทียมเมฆ
แต่ความรู้ต่ำเฉกเพียงยอดหญ้า
ย่อมเป็นเหยื่อทรชนจนอุรา
ด้วยปัญญาอ่อนด้อยน่าน้อยใจ
หากความรู้สูงล้ำคุณธรรมเลิศ
แสนประสริฐกอปรกิจวินิจฉัย
จะพัฒนาประชาราษฎร์ทั้งชาติไทย
ต้องฝึกให้ความรู้คู่คุณธรรม
ผู้แต่ง : อาจารย์อำไพ สุจริตกุล



                       ที่มา :  อาจารย์อำไพ   สุจริตกุล